· · ·

ถ้าใครบางคน “ไม่กล้าถาม” ทนาย…จะเป็นยังไงถ้าเขาได้ “อ่าน” คุณก่อน?

หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์ที่อยากจะถามอะไรทนายสักเรื่อง แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆใช่ไหมครับ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะปัญหาทางกฎหมายมักทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวจะดูไม่รู้เรื่อง หรือกลัวเสียหน้าเวลาถามอะไรผิดๆออกไป ความรู้สึกเหล่านี้นี่แหละครับที่กลายเป็นกำแพงระหว่างทนายกับลูกค้าโดยไม่รู้ตัว แล้วจะดีกว่าไหม ถ้าทนายสามารถอธิบายตัวเอง หรือสื่อสารจุดยืนของตัวเองออกไปก่อนที่ลูกค้าจะต้องกล้าเอ่ยปากถาม?

การมีพื้นที่ออนไลน์อย่างเว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทนายสามารถเล่าเรื่องของตัวเอง เล่าความเชี่ยวชาญ หรือแนวคิดในการทำงานได้อย่างชัดเจนครับ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของการบอกประวัติส่วนตัวนะครับ แต่มันคือการสร้างความไว้วางใจล่วงหน้า สื่อสารทัศนคติและความเป็นมืออาชีพตั้งแต่แรกเจอ โดยไม่ต้องพึ่งแค่คำถามจากลูกค้า เพราะหลายครั้ง ลูกค้าที่ไม่กล้าถาม ก็อาจกลายเป็นลูกค้าที่ไม่กล้ามาใช้บริการเลยก็ได้ครับ

ความเงียบของลูกค้าคือความไม่ไว้ใจที่ซ่อนอยู่

ผมอยากชวนให้ทนายหลายๆคนลองคิดตามดูนะครับ เวลามีคนเดินเข้ามาหาเรา แล้วเขาเงียบ ไม่กล้าถามอะไรเลย มันอาจดูเหมือนว่าเขาฟังอยู่ แต่ความจริงแล้วในใจเขาอาจกำลังเต็มไปด้วยความสงสัย กลัวว่าคำถามจะดูโง่ หรือกลัวว่าทนายจะไม่เข้าใจมุมมองของเขา และเมื่อความเงียบเกิดขึ้นนานเกินไป มันก็จะกลายเป็นความไม่มั่นใจครับ ซึ่งถ้าเราไม่รีบเปิดบทสนทนา หรือไม่แสดงความเข้าใจล่วงหน้า โอกาสดีๆอาจจะหลุดลอยไปเลยก็ได้นะครับ

ผมเคยเห็นหลายเคสที่ลูกค้ามาแบบนิ่งๆ ไม่พูดอะไรเยอะ แต่พอมีหน้าเว็บของทนายที่มีเนื้อหาชัดเจน อธิบายแนวคิด หรือแม้แต่เล่าให้ฟังว่าเคสแบบเขาเคยจัดการยังไงมาแล้วบ้าง เขากลับกล้าเปิดปากมากขึ้นครับ เพราะมันช่วยลดช่องว่างระหว่างความไม่รู้ กับสิ่งที่เขาต้องการได้จริงๆ ความเงียบที่เคยเป็นกำแพง ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความไว้ใจแทนได้เลยนะครับ

เว็บไซต์ช่วยให้ทนาย “เล่าเรื่องยาก” ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ยังไง

ภาษากฎหมายมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปฟังแล้วรู้สึกห่างไกลใช่ไหมครับ มันเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ซับซ้อน และถ้าไม่ใช่คนในสายกฎหมายจริงๆ ก็มักจะรู้สึกว่าไม่เข้าใจหรือไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ เว็บไซต์จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ช่วยเปลี่ยน “เรื่องยาก” ให้กลายเป็น “เรื่องที่เข้าใจได้” อย่างแท้จริงครับ โดยเฉพาะถ้าทนายรู้จักการเล่าเรื่อง การใช้ภาษาที่เป็นมิตร และการเรียบเรียงเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ

ตัวอย่างง่ายๆก็คือ สมมติว่ามีประเด็นเรื่อง “ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ” ซึ่งปกติแล้วถ้าทนายพูดแบบภาษาทางกฎหมายเป๊ะๆ คนทั่วไปก็คงจะงงใช่ไหมครับ แต่ถ้าเล่าแบบ “หากคุณถูกรถชนแล้วฝ่ายตรงข้ามไม่มีประกัน คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง” มันก็จะทำให้คนอ่านรู้สึกว่า เข้าใจ และเข้าถึงได้ครับ แบบนี้แหละที่เว็บไซต์สามารถเปลี่ยนวิธีสื่อสารของทนายให้กลายเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจแทนที่จะเป็นกำแพงครับ

อีกมุมหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การที่ทนายสามารถคุมโทนภาษาและภาพลักษณ์ของตัวเองผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยครับ จะใช้โทนจริงจัง เป็นทางการ หรือจะใช้โทนสบายๆ ก็เลือกได้ตามสไตล์ของตัวเองเลย และนั่นแหละคือจุดที่ทำให้เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าร้านธรรมดา แต่มันคือ “ตัวแทน” ที่พูดแทนเราได้แบบไม่ต้องออกปากเองเลยนะครับ

ผมอยากบอกเลยครับว่า คนทั่วไปไม่ได้อยากรู้ภาษากฎหมายให้ลึกซึ้งเท่าทนาย แต่เขาแค่อยากรู้ว่า เรื่องที่เขากังวลอยู่ มันมีทางออกมั้ย แล้วถ้ามี เขาควรเริ่มต้นยังไงดี และนั่นคือหน้าที่ของเว็บไซต์ที่จะช่วยทำให้เขารู้สึกว่า “คุณคือทนายที่เข้าใจเขาจริงๆ” ครับ

อย่ารอให้ลูกค้าถาม ให้เนื้อหาบนเว็บตอบแทนตัวคุณ

ในยุคที่คนเริ่มค้นหาคำตอบจากอินเทอร์เน็ตก่อนจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง เราในฐานะ “ทนาย” ที่อยากสร้างความไว้วางใจ ควรเปลี่ยนวิธีคิดจากการ “รอให้ลูกค้าถาม” มาเป็น “ตอบก่อนที่เขาจะถาม” ผ่านการวางแผนเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ดีครับ เพราะถ้าคุณสามารถวางแผนเนื้อหาให้ครอบคลุมคำถามที่ลูกค้าสงสัยล่วงหน้าได้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับเขาโดยที่คุณไม่ต้องพูดอะไรเลยนะครับ และเนื้อหาประเภทนี้จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเมื่อถูกจัดวางอย่างเป็นระบบด้วยแนวคิดแบบลิสต์ที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ครับ

  • คำถามยอดฮิตที่คนกลัวจะดูโง่ถ้าถาม เช่น “เซ็นสัญญาแล้วเปลี่ยนใจได้ไหม?”, “คดีนี้ต้องขึ้นศาลหรือเปล่า?” – บทความแนวนี้ช่วยลดความกลัวของลูกค้าลงได้มากครับ
  • ประเด็นเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมาย เช่น “คิดว่าถ้าไม่ได้ลงชื่อ ก็ไม่มีผลทางกฎหมาย” – การอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ จะทำให้คุณดูเข้าถึงง่ายและน่าเชื่อถือขึ้น
  • เคสตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับเคสของลูกค้า เล่าแบบ Case Study (กรณีศึกษา) ที่ลูกค้าอ่านแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย เหมือนเราเลย” จะช่วยให้เขาอยากติดต่อคุณทันที
  • ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจจ้างทนาย เช่น “5 ข้อควรเช็กก่อนจ้างทนายคดีแพ่ง” – เป็นบทความที่ช่วยทำให้คุณถูกมองว่าเป็นที่ปรึกษาที่จริงใจ
  • คำศัพท์ทางกฎหมายที่ควรรู้ แปลและอธิบายคำศัพท์แบบเข้าใจง่าย เช่น “ละเมิด (Tort)”, “สัญญาใจ (Gentlemen’s Agreement)” ฯลฯ
  • แนวคิดหรือจุดยืนของคุณในแต่ละประเภทคดี เช่น “มุมมองของผมต่อคดีครอบครัว” – ช่วยสื่อสารแบรนด์ส่วนตัวและทำให้คุณแตกต่าง
  • การวางแผนเนื้อหาตาม Funnel (Content Funnel Strategy) เช่น Awareness → Consideration → Conversion สำหรับเว็บไซต์ Landing Page
  • บทความที่เขียนให้เข้าใจง่ายแบบไม่ต้องมีพื้นฐาน – เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่คนในวงการกฎหมาย
  • การใช้คีย์เวิร์ดในบทความเพื่อ SEO เช่น เขียนบทความ, ทำเว็บไซต์, คำที่เกี่ยวข้องกับบริการกฎหมายที่คนค้นบ่อย
  • คำถามที่ควรถูกเขียนไว้ในหน้า About หรือ FAQ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจคุณและกระบวนการทำงานของคุณได้ทันที

ลิสต์เหล่านี้ไม่ใช่แค่แนวทางทั่วไปนะครับ แต่มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสื่อสารล่วงหน้ากับลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ เป็นมืออาชีพ และเหนือสิ่งอื่นใด มันคือการสร้าง “ความรู้สึกว่าเข้าใจกัน” ซึ่งมีพลังมากกว่าการพยายามโน้มน้าวครับ ถ้าคุณลองเริ่มจากหนึ่งในหัวข้อเหล่านี้ก่อน แล้วขยายไปเรื่อยๆ เว็บไซต์ของคุณจะกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบแทนคุณได้แบบยั่งยืนเลยนะครับ

เปลี่ยนความรู้ทางกฎหมายให้กลายเป็นความไว้ใจ

ถ้าพูดกันตรงๆนะครับ ความรู้ทางกฎหมายที่ทนายมีอยู่ในหัว อาจเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากเข้าใจมานานแล้ว แต่ยังไม่มีใครถ่ายทอดให้เข้าใจง่ายๆสักที ซึ่งถ้าทนายคนไหนสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาเล่าในแบบที่เข้าใจง่าย และเป็นมิตร มันจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความไว้ใจอย่างลึกซึ้งเลยครับ เพราะมันไม่ใช่แค่การบอกว่า “เรารู้” แต่คือการแสดงให้เห็นว่า “เรารู้แล้วเราอยากแบ่งปัน” ด้วยครับ

เว็บไซต์จึงเป็นเหมือนเวทีที่เปิดโอกาสให้ทนายได้แสดงตัวตน ทั้งในแง่มุมของความเชี่ยวชาญ และทัศนคติในการทำงานครับ การเขียนบทความ การแชร์กรณีศึกษา หรือแม้แต่การเล่าเรื่องประสบการณ์ที่เคยเจอมา สามารถทำให้คนอ่านรู้สึกว่า “คุณคือคนที่น่าเชื่อถือ” ได้โดยไม่ต้องพูดคำว่า “เชื่อใจผม” สักคำเลยนะครับ

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความรู้ทางกฎหมายถ้าเล่าในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติและจริงใจ มันจะไม่ดูน่าเบื่อครับ ตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นเนื้อหาที่ทำให้คนรู้สึกว่า “นี่แหละคือทนายที่เราอยากคุยด้วย” แบบนี้แหละครับที่เขาเรียกว่า การใช้คอนเทนต์สร้างแบรนด์โดยไม่ต้องพยายามขายตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว

บล็อกของทนาย = เครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว

ผมอยากจะเน้นตรงนี้เลยครับว่า บล็อกไม่ได้มีไว้แค่เขียนเล่นๆ แต่มันคือทรัพย์สินระยะยาวของทนายที่สร้างได้ด้วยตัวเอง บล็อกช่วยให้คุณได้เล่าเรื่อง ได้ตอบคำถาม ได้แสดงมุมมอง และที่สำคัญที่สุดคือได้ “อยู่ในสายตาลูกค้า” ตลอดเวลาโดยไม่ต้องโฆษณาอะไรเลยครับ

เมื่อคุณเขียนบล็อกอย่างต่อเนื่อง บทความเก่าๆที่เคยเขียนก็ยังคงอยู่ในระบบ และอาจถูกค้นเจอผ่าน Google ได้อีกหลายปีครับ ซึ่งต่างจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ไหลหายไปในเวลาไม่กี่วัน บล็อกจึงเปรียบเสมือนคลังเนื้อหาที่ใครๆก็สามารถกลับมาอ่านได้ตลอด และนั่นแหละครับคือสิ่งที่ทำให้คุณค่อยๆกลายเป็น “คนที่คนไว้ใจ” โดยไม่ต้องใช้เสียงพูดหรือวิดีโอเลยด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ บล็อกยังช่วยเพิ่มอันดับ SEO ได้ด้วยนะครับ การมีคีย์เวิร์ดสำคัญเกี่ยวกับคำถามทางกฎหมายหรือหัวข้อที่คนค้นหาบ่อย จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้คนเจอคุณก่อนใคร โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาสักบาทเดียวเลยครับ แบบนี้ถือว่าได้ทั้งภาพลักษณ์และโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวพร้อมกันเลย

ตัวอย่างหัวข้อบล็อกที่น่าสนใจ สำหรับทนายยุคใหม่

ผมเชื่อว่าทนายหลายคนมีเรื่องอยากเล่าเยอะมากครับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ถ้าคุณกำลังมองหาแนวทางในการเริ่มต้นบล็อก ลองเริ่มจากหัวข้อที่ใกล้ตัวและตอบโจทย์ลูกค้าได้เลย เช่น “3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเซ็นสัญญาเช่าบ้าน” หรือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่จ่ายหนี้บัตรเครดิต” แบบนี้ครับ หัวข้อเหล่านี้ไม่ต้องใช้ภาษากฎหมายซับซ้อน แต่สามารถช่วยให้คนอ่านรู้สึกว่าเข้าใจโลกกฎหมายมากขึ้น

อีกหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น “ค่าปรับจริงๆคืออะไร ทำไมถึงต้องจ่ายแม้ว่าเราไม่ตั้งใจ” หรือ “ถูกฟ้องแบบนี้ เรายังมีสิทธิปกป้องตัวเองไหม?” หัวข้อแบบนี้จะช่วยให้คนทั่วไปเห็นว่าคุณเป็นทนายที่คิดแทนเขาและอยากให้เขาเข้าใจกฎหมาย ไม่ใช่แค่พูดตามตำราอย่างเดียวครับ และนั่นแหละคือสิ่งที่ลูกค้ากำลังตามหาอยู่โดยไม่รู้ตัว

สิ่งสำคัญคืออย่ากลัวว่าจะเขียนไม่ดีครับ เพราะคุณคือคนที่มีประสบการณ์ตรงมากที่สุดแล้ว การเขียนแบบที่พูดกับเพื่อน หรือเล่าให้ครอบครัวฟัง จะช่วยให้บทความของคุณดูจริงใจ และน่าอ่านแบบธรรมชาติ และถ้ายังไม่มั่นใจ ลองเริ่มจากเรื่องที่คุณถนัดที่สุดก่อน แล้วค่อยๆต่อยอดไปเรื่อยๆนะครับ

ถ้าลูกค้าเข้าใจคุณก่อน พวกเขาจะอยากเลือกคุณเอง

ท้ายที่สุดแล้วครับ ไม่ว่าคุณจะโปรไฟล์ดีแค่ไหน มีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ถ้าลูกค้ามองไม่เห็นตัวตนของคุณก่อน เขาก็อาจจะไม่กล้าตัดสินใจเลือกใช้บริการ เพราะความเข้าใจเป็นพื้นฐานของความเชื่อมั่น ถ้าคุณสามารถเปิดเผยตัวเองผ่านเว็บไซต์ได้ตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะด้วยบทความ เรื่องราว หรือแนวคิดที่คุณยึดถืออยู่ ก็จะช่วยให้ลูกค้า “เข้าใจคุณก่อนจะเจอคุณ” และเมื่อเข้าใจแล้ว การตัดสินใจเลือกก็จะเกิดขึ้นง่ายขึ้นมากครับ

เว็บไซต์จึงไม่ได้มีไว้แค่ให้ข้อมูลพื้นฐาน แต่เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยที่ลูกค้าจะได้เข้ามาทำความรู้จักกับคุณแบบไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าจะถามอะไรผิด แล้วถ้าเขารู้สึกว่า “คุณเข้าใจเขา” โดยที่เขายังไม่ต้องพูดอะไรเลย นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นของความไว้ใจที่แท้จริง ซึ่งบางครั้ง การสื่อสารแบบนี้อาจจะมีพลังมากกว่าการพูดด้วยซ้ำครับ

ผมอยากชวนให้คุณลองลงมือทำอะไรบางอย่างง่ายๆหลังจากอ่านบทความนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความแรกของคุณ หรือแค่ร่างแนวคิดในสมุดก็ยังดี เพราะการเปิดเผยตัวเองก่อนผ่านเว็บไซต์ มันไม่ได้เกี่ยวกับการตลาดอย่างเดียว แต่มันคือการเปิดใจให้คนเห็นว่า “คุณคือทนายที่เข้าใจเขา” และนั่นคือสิ่งที่มีค่ากว่าการขายตัวเองตรงๆครับ

กุญแจสู่ความสำเร็จ (Key to Success)

หลังจากได้อ่านบทความทั้ง 8 หัวข้อแล้ว ผมสรุปมาให้เลยครับว่า ถ้าทนายคนไหนอยากสร้างแบรนด์ให้คนไว้ใจได้ตั้งแต่ยังไม่เจอหน้า คุณต้องมี “เว็บไซต์” ที่เล่าแทนคุณได้จริงๆ นะครับ และนี่คือรายการ “กุญแจสำคัญ” ที่จะเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจและเลือกคุณก่อนใครครับ

  • มีบทความที่พูดแทนสิ่งที่ลูกค้าไม่กล้าถาม เพื่อให้ความเงียบกลายเป็นโอกาส
  • ใช้เว็บไซต์เป็นพื้นที่เล่าแนวคิด ให้คนรู้จักคุณก่อนเจอตัว
  • เปลี่ยนภาษากฎหมายให้เข้าใจง่าย เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงและรู้สึกปลอดภัย
  • เตรียมเนื้อหาตอบคำถามยอดฮิต ให้คนรู้สึกว่า “คุณคือคนที่เขาตามหา”
  • ใช้คอนเทนต์สื่อสารตัวตน ไม่ใช่แค่ให้ข้อมูล แต่ทำให้รู้สึกถึงทัศนคติและจุดยืน
  • เขียนบล็อกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวและเพิ่ม SEO
  • เลือกหัวข้อบล็อกให้ใกล้ตัวลูกค้า เช่น ปัญหากฎหมายในชีวิตประจำวัน
  • ให้ลูกค้าเข้าใจคุณก่อนเจอคุณ เพราะความเข้าใจคือรากฐานของความเชื่อใจ
  • สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress หรือเว็บบล็อกที่คุณควบคุมได้เอง เพื่อความยืดหยุ่นและยั่งยืน
  • อย่ากลัวที่จะเริ่มเล่า เพราะแค่เริ่มเล่าก็ชนะไปครึ่งทางแล้วครับ

ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ไม่ใช่แค่ที่แสดงข้อมูล แต่เป็นตัวแทนของความน่าเชื่อถือ ความเข้าใจ และความเป็นมืออาชีพของทนายในยุคดิจิทัลครับ ลองหยิบเช็คลิสต์นี้ไปเริ่มต้นดูนะครับ แล้วคุณจะเห็นว่า “เว็บไซต์” ที่ดี ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่คือคนที่พูดแทนคุณได้อย่างแท้จริงครับ

คำแนะนำสุดท้ายจากผม ดี้ LandyCourse

ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานสายกฎหมาย โดยเฉพาะ “ทนาย” หลายคน อาจไม่ได้รู้สึกว่าเราจำเป็นต้องมี เว็บไซต์ เป็นของตัวเองนักหรอกครับ เพราะเราก็มีความรู้ มีความสามารถอยู่แล้ว และหลายครั้งลูกค้าก็มาจากการแนะนำกันแบบปากต่อปาก แต่อะไรที่เคยพอ ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีที่สุดนะครับ วันนี้ผมเลยอยากเอาสิ่งที่ผมสรุปได้จากบทความชุดนี้ทั้งหมด มาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ จากมุมของคนที่หวังดีจริงๆ ว่า ถ้าคุณกำลังคิดอยู่ว่า “เราจะเริ่มสร้างความน่าเชื่อถือในยุคที่ทุกอย่างมันวิ่งเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?” คำตอบมันอาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ มันเริ่มจาก “เว็บไซต์” ธรรมดาๆ ที่พูดแทนตัวคุณได้จริงๆ

ลองนึกภาพลูกค้าสักคนที่อยากปรึกษาคุณ แต่เขาไม่กล้าถาม ไม่รู้จะเริ่มยังไง กลัวโดนมองว่าไม่รู้เรื่อง หรือกลัวว่าคำถามของเขามันจะดูไม่ฉลาดพอ ถ้าคุณไม่มีอะไรให้เขาอ่าน ไม่มีบทความสักชิ้นบน เว็บบล็อก ของคุณที่อธิบายเรื่องที่เขากำลังกลัวอยู่ เขาก็อาจจะเลื่อนผ่านคุณไปเลยโดยที่คุณไม่มีโอกาสได้อธิบายตัวเองเลยครับ แต่ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่เขียนบทความที่ทำให้เขารู้สึกว่า “คุณเข้าใจเขา” ทั้งที่เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย แบบนี้ไม่ใช่เหรอครับที่เรียกว่าการเริ่มต้นความเชื่อใจแบบที่ไม่ต้องขายตัวเองตรงๆให้รู้สึกฝืนใจ

เว็บไซต์ที่ดีไม่ใช่แค่สวยครับ แต่มันต้องพูดแทนคุณได้ โดยเฉพาะในมุมที่ลูกค้าอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม ไม่ว่าจะเป็นการยกตัวอย่างเคสที่คล้ายกัน คำถามยอดฮิต หรือแม้แต่การอธิบายภาษากฎหมายให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าคุณเล่าเรื่องเหล่านี้ด้วยภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ ไม่ต้องดูน่าเกรงขาม แต่ใช้วิธีเล่าที่จริงใจ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับคุณอยู่ตรงหน้า ผมรับรองเลยครับว่ามันจะกลายเป็นพลังที่ทำให้คนอยากเลือกคุณเองโดยที่คุณไม่ต้องวิ่งหาลูกค้าเลยนะครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คุณเห็นก็คือ บทความหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ไม่ใช่ของที่เขียนแล้วหายไปครับ ต่างจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่หายไปในไม่กี่ชั่วโมง บทความบนเว็บไซต์จะอยู่กับคุณไปตลอด และค่อยๆสะสมความน่าเชื่อถือให้คุณแบบไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าคุณทำเว็บไซต์ด้วยระบบที่คุณคุมได้เอง เช่น WordPress หรือระบบ สร้างเว็บไซต์ ที่ไม่ผูกกับแพลตฟอร์มชั่วคราว มันก็จะยิ่งมั่นคงและเป็นของคุณจริงๆครับ คุณจะอัปเดตเมื่อไหร่ก็ได้ แก้ไขแนวทางให้เข้ากับสไตล์ของคุณได้ทั้งหมด และสำคัญที่สุดคือ มันกลายเป็นตัวแทนที่ทำงานแทนคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยครับ

ผมอยากชวนให้คุณลองเริ่มต้นวันนี้เลยครับ ไม่ต้องรอให้พร้อม 100% เพราะไม่มีใครพร้อมขนาดนั้นหรอกครับ เริ่มเขียนจากเรื่องที่คุณถนัด เรื่องที่ลูกค้ามักถาม หรือเรื่องที่คุณเคยอยากจะอธิบายแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ลองเอาไปเขียนในหน้าแรกของเว็บ หรือในบล็อกของคุณเองก็ได้ และไม่ต้องคิดมากว่าเขียนดีพอรึยัง เพราะความจริงใจของคุณจะช่วยทำให้เนื้อหานั้นทรงพลังเองครับ ถ้าคุณมีคำถามเยอะจากลูกค้า ลองเอาคำถามเหล่านั้นมาเขียนตอบล่วงหน้าไว้เลย แบบนี้แหละครับคือการทำให้เว็บไซต์ของคุณกลายเป็นเครื่องมือ สื่อสารความรู้ ที่มีประโยชน์ และสร้างความไว้วางใจในตัวคุณแบบไม่ต้องพยายามขายตัวเอง

ท้ายที่สุดที่ผมอยากบอกคือ อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวครับ เพราะไม่ว่าคุณจะทำงานสายไหนในยุคนี้ โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความไว้วางใจอย่าง “ทนาย” การมีพื้นที่ของตัวเองที่สื่อสารตัวตนผ่านคอนเทนต์ดีๆ ถือเป็นก้าวสำคัญที่คุณเริ่มทำได้เลยโดยไม่ต้องรอให้ใครอนุมัติ ผมเองก็เริ่มจากการเขียนบทความง่ายๆบนเว็บไซต์เล็กๆเหมือนกันครับ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเชื่อมั่นจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้าคุณลงมือทำแบบนี้บ้าง คุณก็จะได้เห็นผลลัพธ์ที่คุณไม่เคยคาดคิดเหมือนกันครับ

อยากทักทายหรือสอบถาม ก็ทักไลน์มาคุยกับผมได้เลยนะครับ ^^

ดี้ LandyCourse

โปรเจ็คแนะนำ

รับเว็บไซต์โปร!

เว็บไซต์โปรคุณภาพระดับมืออาชีพ ที่ผมจะติดตั้งทำระบบให้เสร็จครบๆจบๆ คุณแค่เอาไปใส่เนื้อหาเองง่ายๆ ราคาช่วงนี้แค่ 2,490 บาท ….สนใจ กดปุ่มสีแดงดูรายละเอียด หรือ ทักไลน์ปุ่มเขียวมาได้เลย

  • เว็บไซต์ที่เป็นของคุณ 100%
  • เว็บไซต์แนว บล็อก & Landing Page
  • รวมทุกอย่างครบๆ จบๆ ไม่ต้องลงทุนใดๆเพิ่มแล้ว
  • ไม่ต้องยุ่งยากทำส่วนยากๆเอง
  • ผมทำให้พร้อมดูแลให้ตลอดอายุ
  • ได้เว็บเสร็จไว ราคาไม่แพง!

Similar Posts