· · · · ·

นักออกแบบที่เคยวางองค์ประกอบแบบละเอียด…ก็น่าจะมองเห็นศักยภาพของเว็บไซต์ที่วางแบรนด์คุณแบบมี flow

นักออกแบบหลายคนคงคุ้นเคยกับการวางเลย์เอาท์หรือการออกแบบที่ต้องเป๊ะทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นเส้นกริด การจัดวางองค์ประกอบ หรือแม้แต่ฟอนต์ที่เลือกใช้ ทุกอย่างล้วนต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างมีระบบใช่ไหมครับ แต่พอถึงเวลาที่ต้องสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง หลายคนกลับเจอความรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกปล่อยไว้ในพื้นที่โล่งๆ โดยไม่มีกรอบ ไม่มีบรีฟ ไม่มีไกด์ไลน์ให้เดินตามแบบที่เคยคุ้น แล้วแบบนี้จะเริ่มต้นยังไงดีล่ะครับ…

เมื่อ “นักออกแบบ” ต้องเริ่มสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง…จะออกแบบอย่างไรให้ยังดูโปรเหมือนงานลูกค้า

เวลาที่เราทำเว็บไซต์ให้ลูกค้า มันมักจะเริ่มจากโจทย์ที่ชัด มีแบรนด์โทน มีวัตถุประสงค์ เช่น ต้องขายสินค้า ต้องแสดงตัวตน หรือทำให้คนติดต่อกลับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราสร้าง flow ได้ง่ายมากเลยครับ แต่พอถึงเวลาที่ต้องออกแบบเว็บไซต์ให้ตัวเอง กลับกลายเป็นว่าเราไม่มีเป้าหมายชัดเจนแบบนั้น เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี

ความท้าทายก็คือ เราไม่รู้ว่าเราต้องการให้เว็บไซต์พาไปสู่เป้าหมายอะไร คนที่เข้ามาควรเจออะไรเป็นอย่างแรก หรืออยากให้เขารู้จักเราผ่านมุมมองแบบไหน มันเลยไม่แปลกที่หลายคนจะหลุดโฟกัสไปกับการจัดวางความสวยงาม มากกว่าการเล่าเรื่องให้ไหลลื่นแบบมีทิศทางครับ

ทำไมเว็บไซต์ที่ออกแบบให้ตัวเอง…ถึงมักดูไม่ลื่นไหลเหมือนงานที่เคยทำให้ลูกค้า?

มีคำตอบหนึ่งที่ผมคิดว่าใช่มากๆ คือเพราะตอนเราทำให้ลูกค้า เรามีจุดหมายปลายทางที่ชัดครับ เว็บไซต์ต้องขายของ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ต้องให้ข้อมูลครบถ้วน แต่พอทำให้ตัวเองกลับไม่มีโจทย์ที่ชัดเจนแบบนั้น เราเลยเหมือนลอยๆ อยู่กลางทะเลข้อมูลที่ไม่มีเส้นนำทางให้ตาม

อีกเรื่องคือเราอาจจะอยากโชว์ทุกอย่างที่เคยทำแบบจัดเต็ม โดยลืมไปว่า “ความลื่นไหล” บนเว็บไซต์ มันต้องมีจังหวะครับ ต้องมีขึ้นมีลง มีส่วนที่หยุดให้คนคิด แล้วพาไปต่ออย่างไม่สะดุด ซึ่งถ้าขาดเป้าหมาย การวาง flow มันก็หลุดครับ มันไม่ได้ไหลแบบที่เราเคยวางให้ลูกค้าตอนมีบรีฟชัดๆ

พูดง่ายๆ คือถ้าคุณยังไม่รู้ว่าอยากให้คนจำอะไรจากคุณ เว็บไซต์ของคุณก็จะพูดไม่ออกครับ แล้วมันก็จะเงียบสนิทในโลกออนไลน์โดยไม่ทิ้งความประทับใจไว้ให้ใครเลย

เคล็ดลับวาง “จังหวะของแบรนด์” บนเว็บไซต์ให้ไหลลื่นเหมือนงานออกแบบระดับโปร

จังหวะ (Flow) คือหัวใจสำคัญของเว็บไซต์ที่ดี โดยเฉพาะสำหรับนักออกแบบที่ต้องการนำเสนอแบรนด์ของตัวเองแบบมีสไตล์ จัดวางเนื้อหาอย่างไรให้ผู้ชมรู้สึกอยากอ่านต่อ ไม่หลุดโฟกัส และค่อยๆ เชื่อมโยงกับเราอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามครับ แต่คือการสื่อสารแบบมีชั้นเชิง ซึ่งในโลกของ เว็บไซต์สำหรับนักออกแบบ การวางจังหวะให้ดีจะทำให้แบรนด์ของเราดูมีระดับและน่าเชื่อถือขึ้นทันทีครับ

  • Hierarchy ชัดเจน (Visual Hierarchy) – การจัดลำดับความสำคัญของข้อความ รูปภาพ และสี เพื่อพาให้สายตาของผู้ชมไหลไปตามเส้นเรื่องที่ตั้งใจไว้
  • Whitespace คือเพื่อนที่ดีที่สุด – เว้นระยะห่างให้พอดี ช่วยให้เว็บไซต์ไม่อึดอัดและดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น
  • Brand Color Flow – ใช้โทนสีที่สื่อถึงแบรนด์อย่างสม่ำเสมอในทุกส่วนของเว็บ โดยไม่ทำให้รู้สึกจำเจ
  • Typography Strategy – เลือกฟอนต์หลัก ฟอนต์รอง และขนาดตัวหนังสือให้มีความสัมพันธ์ สอดคล้องกับอารมณ์ของแบรนด์
  • Micro-Interaction – ลูกเล่นเล็กๆ เช่น hover effect หรือ transition ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าทุกจุดของเว็บไซต์ “มีชีวิต”
  • Call-to-Action (CTA) ที่จัดวางอย่างมีจังหวะ – ไม่ยัดเยียดให้รีบคลิก แต่ปรากฏในจังหวะที่คนอ่านรู้สึกว่า “ถึงเวลาแล้ว”
  • Storytelling Layout – โครงสร้างการเล่าเรื่องที่ดีจะทำให้เว็บไซต์ไม่ใช่แค่พื้นที่โชว์งาน แต่เป็นพื้นที่ให้คนรู้จักเราทีละขั้นตอน
  • การใช้ภาพที่สื่อสารต่อได้เอง – ภาพบางภาพควรทำหน้าที่พูดแทนข้อความ โดยไม่ต้องมีคำอธิบายซ้ำซ้อน
  • Consistent Motion – ถ้ามี animation หรือ scroll effect ต้องคงความต่อเนื่อง ไม่สะดุด เพื่อไม่ให้ทำลายจังหวะโดยรวมของเว็บไซต์
  • Balance ระหว่างความสวยงามกับความใช้งานได้จริง – อย่าให้ดีไซน์สวยจนลืมว่าเว็บไซต์ควร “พาไปจุดหมาย” ได้อย่างราบรื่นด้วย
  • การใช้ Landing Section อย่างมีจุดประสงค์ – เปิดเรื่องให้ชัดก่อนที่จะพาเข้าสู่เนื้อหาเชิงลึก เป็นเทคนิคที่ช่วยปรับโทนได้ดีมากครับ
  • การทดสอบกับผู้ใช้งานจริง (User Behavior Testing) – ลองให้คนอื่นใช้เว็บไซต์แล้วดูพฤติกรรม ว่าเขารู้สึกติดตรงไหนหรือชอบจุดไหน

ลองใช้รายการเหล่านี้เป็นกรอบคิดนะครับ ทุกข้อจะช่วยให้การออกแบบเว็บไซต์ไม่ได้หยุดแค่คำว่าสวย แต่พัฒนาไปสู่คำว่า “ลื่นไหล” และ “น่าเชื่อถือ” ในแบบที่ เว็บไซต์ Personal Brand ที่ดีควรเป็นครับ

เว็บไซต์สำหรับนักออกแบบ…ไม่ใช่แค่โชว์ผลงาน แต่ต้องโชว์ตัวตนที่ชัดเจน

มีนักออกแบบจำนวนไม่น้อยที่ทำเว็บไซต์ออกมาเหมือนแกลเลอรีรวมผลงานครับ ภาพสวยก็จริง แต่พอเลื่อนดูไปเรื่อยๆ แล้วกลับไม่รู้ว่า “คนที่ทำงานนี้คือใคร” ซึ่งนั่นทำให้เว็บของคุณขาดเสน่ห์เฉพาะตัวที่ควรมีครับ

ลองปรับมุมมองดูครับว่าเว็บไซต์ของคุณคือพื้นที่ที่คนจะได้รู้จัก “ตัวคุณ” ไม่ใช่แค่ผลงานของคุณ เพราะบางทีลูกค้าตัดสินใจจากความรู้สึกว่า “เคมีเราตรงกัน” มากกว่ารูปแบบงานล้วนๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเว็บของคุณเล่าเรื่องได้ว่าเบื้องหลังภาพสวยๆ เหล่านี้คือใคร ทำไมถึงเลือกใช้สีนั้น หรือแรงบันดาลใจของงานแต่ละชิ้นมาจากอะไร คนอ่านจะเชื่อมโยงกับคุณได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

ถ้าเว็บไซต์ของคุณสามารถทำให้คนรู้สึกว่า “เราน่าจะเข้ากันได้” ตั้งแต่ยังไม่เคยเจอกัน นั่นแหละคือพลังของการเล่าเรื่องผ่านเว็บไซต์ที่ดีครับ

นักออกแบบหลายคนคงคุ้นเคยกับการวางเลย์เอาท์หรือการออกแบบที่ต้องเป๊ะทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นเส้นกริด การจัดวางองค์ประกอบ หรือแม้แต่ฟอนต์ที่เลือกใช้ ทุกอย่างล้วนต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างมีระบบใช่ไหมครับ แต่พอถึงเวลาที่ต้องสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง หลายคนกลับเจอความรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกปล่อยไว้ในพื้นที่โล่งๆ โดยไม่มีกรอบ ไม่มีบรีฟ ไม่มีไกด์ไลน์ให้เดินตามแบบที่เคยคุ้น แล้วแบบนี้จะเริ่มต้นยังไงดีล่ะครับ…

เมื่อ “นักออกแบบ” ต้องเริ่มสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง…จะออกแบบอย่างไรให้ยังดูโปรเหมือนงานลูกค้า

เวลาที่ผมทำเว็บไซต์ให้ลูกค้า มันมักจะเริ่มจากโจทย์ที่ชัด มีแบรนด์โทน มีวัตถุประสงค์ เช่น ต้องขายสินค้า ต้องแสดงตัวตน หรือทำให้คนติดต่อกลับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผมสร้าง flow ได้ง่ายมากเลยครับ แต่พอถึงเวลาที่ต้องออกแบบเว็บไซต์ให้ตัวเอง กลับกลายเป็นว่าไม่มีเป้าหมายชัดเจนแบบนั้น เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี

ความท้าทายก็คือ ผมไม่รู้ว่าต้องการให้เว็บไซต์พาไปสู่เป้าหมายอะไร คนที่เข้ามาควรเจออะไรเป็นอย่างแรก หรืออยากให้เขารู้จักเราผ่านมุมมองแบบไหน มันเลยไม่แปลกที่หลายคนจะหลุดโฟกัสไปกับการจัดวางความสวยงาม มากกว่าการเล่าเรื่องให้ไหลลื่นแบบมีทิศทางครับ

ทำไมเว็บไซต์ที่ออกแบบให้ตัวเอง…ถึงมักดูไม่ลื่นไหลเหมือนงานที่เคยทำให้ลูกค้า?

มีคำตอบหนึ่งที่ผมคิดว่าใช่มากๆ คือเพราะตอนทำให้ลูกค้า เรามีจุดหมายปลายทางที่ชัดครับ เว็บไซต์ต้องขายของ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ต้องให้ข้อมูลครบถ้วน แต่พอทำให้ตัวเองกลับไม่มีโจทย์ที่ชัดเจนแบบนั้น เลยเหมือนลอยๆ อยู่กลางทะเลข้อมูลที่ไม่มีเส้นนำทางให้ตาม

อีกเรื่องคือเรามักอยากโชว์ทุกอย่างที่เคยทำแบบจัดเต็ม โดยลืมไปว่า “ความลื่นไหล” บนเว็บไซต์ มันต้องมีจังหวะครับ ต้องมีขึ้นมีลง มีส่วนที่หยุดให้คนคิด แล้วพาไปต่ออย่างไม่สะดุด ซึ่งถ้าขาดเป้าหมาย การวาง flow มันก็หลุดครับ มันไม่ได้ไหลแบบที่เราคุ้นมือจากการทำงานให้คนอื่น

พูดง่ายๆ คือถ้าผมยังไม่รู้ว่าอยากให้คนจำอะไรจากผม เว็บไซต์ของผมก็จะพูดไม่ออกครับ แล้วมันก็จะเงียบสนิทในโลกออนไลน์โดยไม่ทิ้งความประทับใจไว้ให้ใครเลย

เคล็ดลับวาง “จังหวะของแบรนด์” บนเว็บไซต์ให้ไหลลื่นเหมือนงานออกแบบระดับโปร

ผมมองเว็บไซต์เหมือนเลย์เอาท์ของนิตยสารที่มีจังหวะให้คนหยุดอ่าน ชื่นชม และไปต่อครับ มันไม่ใช่แค่การโยนทุกอย่างลงหน้าเดียวแบบยัดๆ แต่คือการเรียงเรื่องราวแบบมีลำดับ เช่น เริ่มจากคำแนะนำตัว แล้วตามด้วยสิ่งที่เราทำได้ดี ตามด้วยตัวอย่างผลงาน แล้วค่อยปิดท้ายด้วยการชวนให้ติดต่อกลับ

ส่วนประกอบที่ช่วยให้ flow บนเว็บมันลื่นไหลก็คือ “จังหวะ” ที่เกิดจากการเว้นที่ว่าง การใช้สี การแทรกคำพูด หรือแม้แต่การเลือกภาพที่เล่าต่อจากข้อความได้โดยไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกครั้ง เว็บที่ดีมักจะดูไหลลื่นจนแทบไม่รู้สึกว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเลยนะครับ

เหมือนเวลาวางโปสเตอร์นิทรรศการสักงานนึง ผมคงไม่ได้โยนภาพกับตัวหนังสือรวมกันเป็นแผงเดียวแน่นอนใช่ไหมครับ ผมจะเลือกจุดเด่น เลือกโทน และที่สำคัญคือเล่าเรื่องได้ในพื้นที่จำกัด นั่นแหละคือ flow ที่เว็บไซต์ของนักออกแบบควรมีครับ

เว็บไซต์สำหรับนักออกแบบ…ไม่ใช่แค่โชว์ผลงาน แต่ต้องโชว์ตัวตนที่ชัดเจน

นักออกแบบจำนวนไม่น้อยทำเว็บไซต์ออกมาเหมือนแกลเลอรีรวมผลงานครับ ภาพสวยก็จริง แต่พอเลื่อนดูไปเรื่อยๆ แล้วกลับไม่รู้ว่า “คนที่ทำงานนี้คือใคร” ซึ่งนั่นทำให้เว็บขาดเสน่ห์เฉพาะตัวที่ควรมีครับ

ผมเชื่อว่าเว็บไซต์คือพื้นที่ที่คนจะได้รู้จัก “ตัวเรา” ไม่ใช่แค่ผลงาน เพราะบางทีลูกค้าตัดสินใจจากความรู้สึกว่า “เคมีเราตรงกัน” มากกว่ารูปแบบงานล้วนๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเว็บสามารถเล่าว่าเบื้องหลังภาพสวยๆ เหล่านี้คือใคร ทำไมถึงเลือกใช้สีนั้น หรือแรงบันดาลใจของแต่ละชิ้นมาจากอะไร คนจะเชื่อมโยงกับเราได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

ถ้าเว็บไซต์สามารถทำให้คนรู้สึกว่า “เราน่าจะเข้ากันได้” ตั้งแต่ยังไม่เคยเจอกัน นั่นแหละคือพลังของการเล่าเรื่องผ่านเว็บไซต์ที่ดีครับ

กุญแจสู่ความสำเร็จ (Key to Success)

คนที่เป็นนักออกแบบแล้วอยากสร้างเว็บไซต์ของตัวเองให้มีพลังแบบไม่ต้องพูดเยอะ ต้องเริ่มจากการวาง flow ที่ดี รู้ว่าจุดเด่นของตัวเองอยู่ตรงไหน และเล่าผ่านหน้าเว็บให้ชัดเจนทุกจังหวะครับ นี่คือรายการเช็กสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นเว็บไซต์ที่ทำให้ลูกค้าอยากทำงานกับเราทันทีครับ

  • เริ่มต้นจาก “เป้าหมาย” แทนที่จะเริ่มจากหน้าตา – เว็บไซต์ของนักออกแบบควรมีโฟกัส ไม่ใช่แค่สวย
  • วาง Flow เว็บไซต์ให้ลื่นไหลเหมือนเลย์เอาท์ดีๆ – ทุกหน้า ทุกส่วน ต้องมีจังหวะการเล่าเรื่อง
  • สื่อสาร “ตัวตน” ให้ชัดตั้งแต่หน้าแรก – เพราะลูกค้าอยากรู้ว่าเราคือใคร ไม่ใช่แค่เห็นว่าเราทำอะไรได้
  • ใช้คำที่มีพลัง ไม่ต้องพูดเยอะ แต่สื่อสารได้ครบ – คำทักทาย คำแนะนำตัว ต้องโดนใจตั้งแต่แรก
  • เลือกใช้ WordPress เพื่อควบคุมดีไซน์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด – เหมาะกับนักออกแบบที่ต้องการอิสระเต็มที่
  • คิดเว็บไซต์เหมือน artboard ที่มีชีวิต – ให้ประสบการณ์ผู้ใช้มากกว่าการดูรูปเฉยๆ
  • โชว์ผลงานพร้อมเล่าที่มาอย่างมีสตอรี่ – แรงบันดาลใจและแนวคิดเบื้องหลังคือเสน่ห์ของงาน
  • วางแบรนด์ผ่านเว็บไซต์แบบมีชั้นเชิง – ไม่ใช่แค่โชว์เก่ง แต่ทำให้คนรู้สึกว่าเรา “ใช่”
  • ทำเว็บไซต์ให้พาไปสู่การติดต่อจริง – อย่าลืมจบด้วยการชวนให้อยากคลิก อยากคุย อยากจ้าง

คำแนะนำสุดท้ายจากผม ดี้ LandyCourse

ถ้าเว็บไซต์ของนักออกแบบคนหนึ่งไม่สามารถเล่าเรื่องตัวเขาเองได้ชัดเจนพอ ก็น่าเสียดายครับ เพราะนั่นคือโอกาสเดียวที่เขาจะสื่อสารกับคนที่ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งมุมมองแบบนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วมันคือจุดชี้เป็นชี้ตายระหว่างเว็บไซต์ธรรมดา กับเว็บไซต์ที่ทำให้ลูกค้าอยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ทันที เว็บไซต์ที่ดีต้องไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับวางภาพสวยๆ หรือโชว์สไตล์เท่ๆ แต่ควรเป็นสื่อกลางที่สร้างความเข้าใจในตัวบุคคลอย่างลึกซึ้งผ่านโครงสร้างที่มีทิศทาง มีจังหวะ และมีเนื้อหาที่ออกแบบมาจากการเข้าใจเป้าหมายของตัวเองอย่างแท้จริงครับ

คนที่อยากมีเว็บไซต์ที่ดีสำหรับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบหรือไม่ก็ตาม ต้องเริ่มจากคำถามว่า “อยากให้คนจดจำอะไรจากเรา” เพราะนี่คือจุดตั้งต้นที่สำคัญที่สุด หากยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ โอกาสที่เว็บไซต์จะดูไม่มีพลัง ก็มีสูงมากครับ เว็บไซต์ที่ดีต้องมีลำดับเรื่องราวที่ไหลลื่น ตั้งแต่คำแนะนำตัว การจัดวางเนื้อหา จนถึงการพาไปสู่การตัดสินใจ ไม่ใช่แค่เลื่อนดูงานแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ มันควรสร้างการเชื่อมโยงที่ทำให้คนรู้สึกว่า “นี่คือคนที่ฉันอยากรู้จัก” ครับ

สิ่งที่ทำให้เว็บไซต์หนึ่งแตกต่างจากอีกเว็บไซต์หนึ่งไม่ใช่แค่ความสวยงามหรือเทคนิคครับ แต่มันคือความรู้สึกที่คนได้รับในแต่ละจังหวะขณะใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นตอนอ่านคำพูดเล็กๆ บนหน้าแรก หรือการเห็นผลงานที่มีคำอธิบายประกอบอย่างตั้งใจ เว็บไซต์ที่สามารถวาง flow ได้ดี จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานกลายเป็นเรื่องที่น่าจดจำ และเมื่อประสบการณ์นั้นถูกหล่อหลอมด้วยเนื้อหาที่ออกแบบจากตัวตนจริงๆ โอกาสที่จะสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นก็จะเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องพยายามขายตัวเองเลยครับ

การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมก็เป็นอีกเรื่องที่หลายคนมองข้ามไปครับ WordPress สำหรับนักออกแบบ ไม่ได้เป็นแค่ระบบสร้างเว็บธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่ให้อิสระในการควบคุมงานดีไซน์ได้แบบเต็มที่โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย คนที่ไม่เก่งเทคโนโลยีสามารถใช้ โคลนเว็บไซต์ WordPress ที่มีระบบพร้อมใช้งานมาแล้ว เพื่อไม่ต้องเสียเวลาเริ่มจากศูนย์ ทำให้โฟกัสกับเนื้อหาและประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้มากขึ้น ซึ่งนี่คือสิ่งที่นักออกแบบต้องการจริงๆ ครับ เพราะเราต้องการพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องเทคนิค

ในวันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเครื่องมือดีไซน์ได้ เว็บไซต์ที่ดีจะไม่ใช่แค่เว็บไซต์ที่สวยที่สุด แต่จะเป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแทนครับ คนที่เข้าใจว่าหน้าที่ของเว็บไซต์คือตัวแทนของแบรนด์ ตัวแทนของตัวตน และเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ จะออกแบบเว็บไซต์ได้อย่างมีเป้าหมาย และเมื่อเป้าหมายชัด เนื้อหาจะชัด โฟลว์จะชัด และความน่าเชื่อถือก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นี่แหละครับที่ทำให้เว็บไซต์แบบ เว็บไซต์สำหรับนักออกแบบ หรือ เว็บไซต์ Personal Brand กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการเชื่อมโยงกับคนที่ใช่

อยากทักทายหรือสอบถาม ก็ทักไลน์มาคุยกับผมได้เลยนะครับ ^^
ดี้ LandyCourse

โปรเจ็คแนะนำ

รับเว็บไซต์โปร!

เว็บไซต์โปรคุณภาพระดับมืออาชีพ ที่ผมจะติดตั้งทำระบบให้เสร็จครบๆจบๆ คุณแค่เอาไปใส่เนื้อหาเองง่ายๆ ราคาช่วงนี้แค่ 2,490 บาท ….สนใจ กดปุ่มสีแดงดูรายละเอียด หรือ ทักไลน์ปุ่มเขียวมาได้เลย

  • เว็บไซต์ที่เป็นของคุณ 100%
  • เว็บไซต์แนว บล็อก & Landing Page
  • รวมทุกอย่างครบๆ จบๆ ไม่ต้องลงทุนใดๆเพิ่มแล้ว
  • ไม่ต้องยุ่งยากทำส่วนยากๆเอง
  • ผมทำให้พร้อมดูแลให้ตลอดอายุ
  • ได้เว็บเสร็จไว ราคาไม่แพง!

Similar Posts